UFABETWINS แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับขวบปีแรกของการสร้าง การจะได้เจอกับเซบีญ่าถือเป็นครูชั้นยอดที่จะทำให้เด็กชุดนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด เช่นเดียวกัน บาเยิร์นมิวนิคคือตัวเปรียบเทียบในระดับสูงสุดที่แสดงให้เห็นว่า นั่นคือจุดพีคที่แท้จริงที่เราต้องทำให้ได้ในแผน5ข้างหน้านี้
เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายของซีซั่นนี้กันจริงๆแล้วสำหรับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ขณะนี้ ณ ตอนที่เขียนคือบ่ายวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม ซึ่งยูไนเต็ดมีคิวจะลงฟาดแข้งรอบรองชนะเลิศในถ้วยยูโรป้าลีกกับเซบีญ่าคืนนี้ ซึ่งผลจะออกมายังไง จะตกรอบรองหรือเข้ารอบชิงก็ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทความนี้แต่อย่างใด เพราะมันคือการวิเคราะห์ในภาพรวมของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในแง่ของ Long-Term Development Planning ซึ่งเป็น “แผนการพัฒนาทีมในระยะยาว” ของทีมเรานั่นเอง ไม่ได้พูดถึงประเด็นความสำเร็จระยะสั้นของซีซั่นปัจจุบัน
ดังนั้นปีนี้ยูไนเต็ดจะแชมป์ หรือไม่แชมป์ยูโรป้าลีก ก็ไม่สำคัญ เพราะต่อให้ได้แชมป์ขึ้นมา ก็ยังไม่ได้แปลว่ายูไนเต็ดจะท้าชนใครก็ได้ หรืออยู่ในจุดที่ใกล้เคียงคำว่าดีพอแล้วแต่อย่างใด
ณ ตอนนี้พูดได้เพียงแค่ว่า ทีมเรามีแววที่จะไปได้ไกลมากเท่าที่เราคาดหวังอยากจะได้แชมป์เมเจอร์ใบใหญ่ๆ เพราะศักยภาพที่กำลังพัฒนาและยังซ่อนอยู่ข้างในนั้น ตอนนี้ยังออกมาไม่ถึงครึ่งนึงของจุดพีคสุดเท่าที่ทีมเด็กชุดนี้จะไปแตะถึงได้เสียด้วยซ้ำ
สาเหตุหลักๆเลยก็คือ ทีมชุดนี้ เป็นทีมชุดที่ “เพิ่งจะสร้างขึ้นมา” ในระยะรากฐานเริ่มต้นเท่านั้นเอง
หากลองมองย้อนไป ตัวหลักพึ่งพาได้ในชุดนี้มีกี่คนที่อยู่มานานตั้งแต่ชุดก่อนๆแล้ว เท่าที่มองเห็นและนึกได้ มีแค่ มาร์กซิยาล แรชฟอร์ด ชอว์ และก็ ดาวิด เดเคอา สี่คนเท่านั้นที่อยู่มาตั้งแต่แมนยูไนเต็ดที่เป็นชุดเก่า ที่ยังไม่ได้สร้างใหม่ขึ้นมาในยุคนี้
ถ้าให้แยกเป็นสามส่วนใหญ่ๆเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพก็คือ
1.ชุดยุคป๋า
2.ชุดยุคมืด
3.ชุดยุคโอเล่
1.ชุดป๋า
ก็อย่างที่เราทราบกัน ตัวหลักๆคือ ริโอ วิดิช รูนีย์ คาริค และนักเตะรายอื่นๆในเซ็ตนั้นที่อยู่ลากยาวมาตั้งแต่แถวๆชุด2008 มาจนถึงจบ 2013 ซึ่งเป็นพีเรียดระยะเวลาราวๆ 5ปีพอดี ที่ป๋าสร้างชุดนั้นขึ้นมาแล้วใช้งานได้จริงตามระยะเวลาของชุด นอกจากตัวหลักๆแล้วก็จะมีตัวที่ป๋าเปลี่ยนมาเสริมแกร่งเรื่อยๆตลอดเวลา เช่น เบอร์บาตอฟ RVP ชิชาริโต้ เป็นต้น
2.ชุดยุคมืด
ก็คือชุดในช่วงเปลี่ยนผู้จัดการทีมสามคนตอน เดวิดมอยส์ หลุยส์ฟานกัล มูรินโญ่ สามคนนี้ซึ่งนักเตะแกนหลักๆของชุดยุคมืด ก็คือนักเตะใหม่ๆที่เข้ามาในช่วงนั้น (มาต้า เฟลไลนี่ เอเรร่า) + มรดกป๋ายุคปลายๆที่ยังไม่ดีพอจะแบกทีมประสบความสำเร็จได้ (เช่น โจนส์ แอชลีย์ยัง วาเลนเซีย สมอลลิ่ง นี่คือมรดกป๋าที่อยู่กับทีมมาตลอดชุดยุคมืด)
และในชุดยุคมืดนี้ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเองที่อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับชุดปัจจุบัน นับเฉพาะที่เป็นตัวหลักของทีมที่คาบเกี่ยวในยุคมืด ก็คือ หมาก-แรช ที่ดังขึ้นมาในยุคLVG , เดเคอาที่อยู่ยาวมาตั้งแต่ปลายยุคป๋า และรวมถึง ลุค ชอว์อีกคนนึงด้วย
ซึ่งหากดูไทม์ไลน์ระยะเวลา ก็จะเห็นเหมือนเดิมว่า พีเรียดของชุดยุคมืดนี้ก็ตามระยะเวลาของมัน ก็คือราวๆ5ปีเช่นกันที่ฐานนักเตะตัวหลักๆของชุด จะเล่นอยู่ในช่วง 2013-2018
3.ชุดยุคโอเล่
กล่าวคือที่ยกตัวอย่างมาให้ดูถึงชุดยุคป๋า และ ชุดยุคมืด จะเห็นได้ชัดเจนว่า นักเตะที่อยู่ในทีมนั้น มันจะแบ่งออกเป็นชุดๆค่อนข้างชัดเจน จะมีคาบเกี่ยวบ้างก็แค่บางคนเท่านั้นเองดังที่กล่าวไป ยุคป๋าก็พวกริโอวิดิชเอฟร่า ฯลฯ พวกนั้น ส่วนยุคมืดเราก็จะเห็น โจนส์สมอลลิ่งยัง ติดอยู่ในทุกชุดจริงๆจนกระทั่งมาหมดเอาที่สิ้นสุดมูรินโญ่
เมื่อพิจารณานักเตะปัจจุบันก็จะเห็นว่า ส่วนใหญ่ๆของทีมมันเป็นbrand new playerแทบทั้งสิ้นที่ถูกซื้อตัวเข้ามาใหม่+ดันเด็กใหม่ขึ้นมาจากชุดเยาวชน อันได้แก่
3.1 อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล มาร์คัส แรชฟอร์ด ลุค ชอว์ เดเคอา จากชุดคาบเกี่ยวยุคมืด (ป๋า มอยส์ หลุยส์ มู)
3.2 มาติช ลินเดอเลิฟ ป็อกบา ชุดปลายยุคมืด (มู)
3.3 เมสัน กรีนวู้ด/แบรนดอน วิลเลียมส์ จากชุดเยาวชน (โอเล่)
3.4 บรูโน่ แฟร์นันด์ส / อารอน วานบิสซาก้า / แฮรี่ แมกไกวร์ นักเตะที่ซื้อตัวเข้ามาใหม่ (โอเล่)
จะเห็นได้ว่าชุดปัจจุบันยุคโอเล่ ก็แทบจะเป็นนักเตะเซ็ตใหม่ทั้งหมดที่เกิดจากการล้างไพ่เคลียร์ทีมและสร้าง”ทีม”ขึ้นมาใหม่ ทั้งสิ้น ซึ่งนักเตะที่อยู่มานานสุดก็คือพวกในข้อ3.1ที่เป็นชุดคาบเกี่ยวยุคมืด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะสามตัวoutfieldที่อยู่มาตั้งแต่ยุคมืดนั้น ในช่วงนั้นพวกเขายังเป็นเพียงดาวรุ่งอายุโคตรน้อย(มากๆ)ทั้งสิ้น หมาก แรช นี่เด็กน้อยมากๆในยุคนั้น ชอว์เองก็เป็นแบ็คดาวรุ่งที่ซื้อมาเพื่ออนาคตเช่นกัน จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับฟอร์มย่ำแย่จากอดีตเลยที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง
เมื่อดูจากไทม์ไลน์แล้วผมคิดว่า จุดที่จะนับได้จริงๆว่าเป็นการเริ่มต้นของทีมชุดใหม่ มันคือซีซั่นที่่ผ่านมานี้แหละ ฤดูกาล 2019/20 ต้องจารึกเอาไว้ว่ามันเป็น “จุดเริ่มต้น” แรกสุดของการสร้างทีมชุดนี้
เราเขียนเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนของนักเตะสามชุดสามยุค เพื่อจะให้รู้ว่าตัวนักเตะหลักในตอนนี้มันต่างจากสมัยอดีตอย่างชัดเจนเป็นชุดๆ และให้เห็นระยะเวลาการใช้งานต่อหนึ่งชุดว่าตกที่ราวๆ 5ปีคร่าวๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากเทียบกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านๆมาด้านบนๆ ชุดปัจจุบันนี้น่าจะยืนระยะไปได้อีกอย่างต่ำๆ 5-7ปีแน่ๆ จะต่างจากชุดอื่นอีกที่มันอาจจะอยู่ยาวนานกว่า, นักเตะบางคนอย่างวิลเลียมส์ กรีนวู้ด น่าจะอยู่โยงที่นี่เกิน10ปีต่อจากนี้ด้วยซ้ำ (2030) เพราะทีมชุดปัจจุบันเป็นชุดที่สร้างจาก”นักเตะอายุน้อย” เป็นbase ดังนั้นระยะเวลาต่อชุดที่เป็น 5ปีดังกล่าว ในชุดนี้ อาจจะแตะหลัก 8-10ปีเลย ซึ่งก็น่าจะไปถึงปีค.ศ. 2025 ได้อย่างต่ำๆ
ต่อให้โอเล่จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ตาม แต่เด็กๆที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันก็น่าจะอยู่ถึงเวลานั้นแหละ
เพราะว่าอะไร?
ให้พิจารณาดูนักเตะที่เป็นซีเนียร์ของทีมขณะนี้ที่เป็นตัวรุ่นพี่ อย่างป็อกบา แมกไกวร์ ก็อายุเท่ากันที่27 ส่วนบรูโน่เองก็25แล้ว ดังนั้นนักเตะที่เป็นซีเนียร์ขึ้นมาหน่อยนึง ก็น่าจะอยู่ได้แบบพีคๆอีกราว5ปีต่อจากนี้ ซึ่งก็จะไปแตะ2025พอดี ถึงตอนนั้นทีมก็คงค่อยๆเสริมนักเตะเข้ามาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และเด็กอะคาเดมี่บางคนในตอนนี้อย่าง เลวิทท์ การ์เนอร์ เมนกี้ แลร์ด พวกนี้อาจจะมีสักคนที่ทะลุขึ้นมาเป็นตัววัยรุ่นสดๆให้เราในช่วงนั้นก็ได้
ส่วนด้านของตัวหลักวัยรุ่นของทีมยุคนี้อย่าง หมาก แรช กรีนวู้ด แบรนดอน แม็คโทมิเนย์ บิสซาก้า บอกเลยว่าไอ้พวกนี้เราจะได้เห็นน้องมันลากยาวๆถึง 2028 แน่นอน เพราะอายุน้อยมากทั้งนั้น
ทั้งหมดนี้คือการเกริ่นเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นกันชัดๆว่า ทีมปัจจุบันนี้คือ “ชุดใหม่” อย่างแท้จริงด้วยฝีมือการสร้างขึ้นมาใหม่ของOle Gunnar Solskjaer ในฤดูกาล2019/20เป็นปีแรกของการสร้าง และอายุการใช้งานนักเตะเซ็ตนี้ อย่างต่ำๆก็ไปถึงอย่างน้อย 2025 แน่ๆซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับพวกซีเนียร์ในทีมจะถึงเวลาเลยจุดพีคพอดี
ดังนั้นเมื่อปีนี้คือปีแรก ดังนั้นแฟนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดควรที่จะเข้าใจในจุดนี้ว่า นี่ืคือทีมที่เราเพิ่งจะเริ่มสร้างปีแรกปีนี้จริงๆเท่านั้น ดังนั้นแฟนผีอย่าเพิ่งมองว่าทีมเราเก่งเกินกว่าความเป็นจริงมากนัก ซึ่งในฐานะผู้เขียนเชื่อว่า คนอ่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ได้นั้นก็น่าจะเข้าใจและมองตามความเป็นจริงกันอยู่แล้วว่า ทีมเรายังต้องพัฒนาอีกเยอะมาก
ทั้งในแง่ของเหตุและผลดังที่เกริ่นมายืดยาวนี่แหละว่า ทีมมันเพิ่งจะสร้างเท่านั้น
และอีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็คือ “คุณภาพการเล่น” ที่เราได้เห็นในสนาม ยิ่งเป็นตัวบ่งบอกชัดเจนว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในปัจจุบันนี้ (ชุด2019/20) ยังไม่ดีพอที่สามารถจะพูดได้ว่าเราใกล้เคียงกับตำแหน่งแชมป์เมเจอร์ที่หวังไว้ อย่างเช่น พรีเมียร์ลีก หรือ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกก็ตามที
ต่อให้ปีหน้าจะได้ ซานโช่ + กลางรุกตัวใหม่ .. แถม+ตัวแถมให้อีกคนนึงด้วย ยูไนเต็ดก็ยังไม่ดีพอจะคว้าแชมป์สำคัญได้อยู่ดี
ทำไมถึงพูดเช่นนี้? คนเขียนทำไมมึงมองโลกในแง่ร้ายจัง? ทำไมต้องเนิร์ฟทีม? เห็นต่างแล้วเท่เหรอ? (ฮา)
อาจจะมีบางคนสงสัยแบบนี้ก็ได้ แต่ผมเขียนตามความเป็นจริงว่า คุณภาพการเล่นของทีมในตอนนี้ที่เราตื่นเต้นๆกันอยู่นั้น มันเพียงแค่ “ดีกว่ายุคมืดแบบหลังตีนเป็นหน้ามือ” เท่านั้นเอง
คือเราอยู่กับความกากมาตลอด7ปีนับตั้งแต่ป๋าวางมือ พอปีนี้ดีขึ้นแบบมีหวัง เราเลยhypeกันกว่าปกติเท่านั้นเอง
แต่ถ้าให้ดูภาคของการเล่นจริงๆ ใครที่ติดตามดูแมนยูไนเต็ดครบทุกนัดและนั่งวิเคราะห์แทคติกบ่อยๆแบบผมจะรู้ทันทีว่า แมนยูตอนนี้ยังมีช่องโหว่ จุดอ่อน และสิ่งที่ต้องพัฒนาไปอีกหลายจุดจริงๆกว่าจะกลายเป็นทีมระดับท็อปที่ “เจอใครก็ได้” เช่นนั้น
ไม่ต้องไปไหนไกล มันเป็นเรื่องของการปั้นทีม จูนทีมเข้าด้วยกัน และการพัฒนาการเล่นของนักเตะแกนหลักเรานี่แหละที่ยังเก่งกว่านี้ได้อีกเยอะ คิดเอาเองว่า ฟร้อนท์ทรี3Mในตอนนี้อย่าง มาร์กซิยาล มาร์คัส เมสัน อายุแค่ 24/22/18 ตามลำดับ ซึ่งพวกนี้ยังไม่ใกล้เคียงกับการเข้าช่วงพีคเลยด้วยซ้ำ
เห็นเด็กสองคนนี้มานาน ไม่คิดว่าจะมาถึงวันที่เราพอจะมองเห็นแววเทพจริงๆขึ้นมาแล้ว
เอาจริงๆกองหน้าจะพีคแบบเก่งจัดๆก็ต้องสัก 26-27 นู่นที่ทุกอย่างพร้อมแล้วจริงๆ ซึ่งก็อีกตั้ง “3ปี” กว่าที่ปีศาจฆาตรกรอย่าง “อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล” จะเก่งแตะจุดพีคจริงๆ ตอนนี้ก็ว่าโหดสัสๆแล้ว ยังมีgapอีก3ปีให้เราได้ไฮพ์กันอีกเยอะ เช่นเดียวกันกับแรชฟอร์ดที่อย่างน้อยๆ 4ปีข้างหน้าก็โคตรนาน มันก็เพิ่งจะ26เอง (บ้าไปแล้ววววววววววว)
เอาล่ะ .. ไม่ต้องเขียนถึงเด็กอายุ18อย่างเมสัน กรีนวู้ดแล้วมั้งว่า อีกชาตินึงกว่าจะเข้าจุดพีค!!!!(8ปีเหนาะๆ นู่น..2028 กูจะมีชีวิตอยู่ถึงดูน้องไม้เขียวเป็นWorld Classไหมเนี่ย) ทุกคนจะเห็นได้ชัดเจน และอย่าลืมในข้อนี้เวลาดูยูไนเต็ดยุคปัจจุบัน ท่องและพึงระลึกไว้ในใจเสมอว่า น้องมันยังเด็กอยู่ ต่อให้บอกว่า เมื่อขึ้นมาชุดใหญ่ได้อายุก็ไม่เกี่ยวแล้ว ก็ตามที แต่พยายามคิดเอาไว้ว่า พวกนี้ยังเก่งกว่านี้ได้อีกเยอะ
เพราะฉะนั้น ใจเย็นๆ
อืม ใจเย็นๆ..
ย้อนกลับไปตอนต้นอีกครั้ง สรุปแล้วว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยุคนี้ค่อยๆพัฒนาทีมในระยะยาวด้วย Long-Term Development Planning อย่างแท้จริง โดยที่planningดังกล่าวนี้เห็นชัด(มาก)อยู่แล้ว ที่สเป็คนักเตะโอเล่ มันคือเด็กอายุน้อยเป็นpriorityหลักทั้งสิ้น จะเห็นชัดเลยที่primary target อย่าง Jadon Sancho นั้นก็อายุแค่20ปีเท่านั้นเอง ดังนั้นมันชัดมากๆว่า เขาไม่ได้จะรีบเอาความสำเร็จทันทีภายในปีสองปีแล้วจบ ใช้งานแล้วทิ้ง
ไม่เช่นนั้นก็ไปซื้อปีกซื้อกองหน้าตัวท็อปพร้อมใช้งานในปัจจุบันนี้เลยทีเดียวก็ได้ ถ้าจะเอาจริงๆยูไนเต็ดซื้อได้อยู่แล้ว
แต่นี่มันคือแผนงานที่ผู้จัดการทีมและบอร์ดบริหารวางทิศทางร่วมกันเอาไว้แล้วต่างหาก ไม่งั้นป่านนี้บอร์ดทุ่มซื้อตัวดังๆเหมือนยุคจารย์หลุยส์แล้ว นี่คือข้อพิสูจน์ที่แตกต่างจากอดีตชัดเจนมากๆ
แฟนบอลยูไนเต็ดอย่างเราๆท่านๆทุกคน จึงต้องดูบอลด้วยความ “เข้าใจ” ในสภาพความเป็นจริง และสิ่งที่ทีมกำลังทำอยู่ว่า เราอยู่ในstateของการพัฒนาทีมจากรากฐานล่างสุดกันอยู่ กว่าจะผลิดอกออกผลได้ก็อีกพักใหญ่ๆเลย ดังนั้นเราควรจะเชียร์ให้ทีมพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ผสมผสานกับความหวังที่จะคว้าแชมป์ได้บ้างตามรายทาง เพื่อเป็นresultsที่มองเห็นเป็นรูปธรรมได้บ้างเรื่อยๆ เช่นการจะคว้าแชมป์ยูโรป้าลีกปีนี้ให้ได้ด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่เราจะหวังลุ้นแชมป์ถ้วยนี้ได้ เพราะมันก็ไม่ได้ถึงกับไกลเกินเอื้อมเท่าไรนัก
เพื่อเป็นการพัฒนาทีมของเด็กเรานั้น สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการที่ให้เด็กๆเราได้เจอกับ”ของแข็ง” บ่อยๆ คืออาจจะแพ้บ้าง ผิดหวังบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะการตกรอบรองชนะเลิศจะสองหรือสามรายการ มันก็ไม่ได้แปลว่าเราล้มเหลว แต่กลับกัน เด็กชุดนี้ได้ประสบการณ์ล้ำค่าไปต่างหากที่จะทำให้ในอนาคตเขาแกร่งขึ้น และจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนั้นได้ดีขึ้นแน่ๆ
การจะได้เจอทีมเก่งๆ จึงเป็นสิ่งที่ผู้เขียนคาดหวังที่สุด ที่อยากให้เด็กชุดนี้ได้เจอเยอะๆ
กล่าวถึงยูโรป้าลีก บอกตรงๆว่านัดที่แล้วผมเครียดและลุ้นเยี่ยวเหนียวจริงๆ กลัวว่าทีมจะพลาดแพ้โคเปนเฮเก้นซะก่อน คือคิดในใจว่าอย่างน้อยๆ ขอเข้ารอบรองไปเจอตัวท็อปๆก่อนแล้วกันวะ ถ้าตกรอบจะบอกเลยว่า “ไม่เสียใจใดๆทั้งสิ้น” เพราะเข้ารอบรองไป อย่างน้อยๆก็จะให้เด็กเรามันไปวัดกับทีมระดับท็อปจริงๆบ้าง ว่าเจอพวกนี้แล้วจะเป็นยังไง จะสู้ได้ขนาดไหน
ซึ่งขอบคุณสวรรค์ที่ส่งเซบีญ่ามาให้เลยในรอบรองชนะเลิศ ไม่ใช่วูล์ฟ
ไม่ได้ดูถูกวูล์ฟนะ นั่นก็ของแสลงที่กินยากเช่นกัน แต่เราเจอพวกเขาได้ในลีกอยู่แล้ว เซบีญ่านี่แหละ คือตัวแทนที่ดีของการเก็บเลเวลเจอกับ “บอลสเปน” ที่มีความเร็ว ความคล่อง และเกมต่อบอลที่ดุดันมาก แถมมีรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจู่โจมจากเกมริมเส้นด้วยการเปิดของ Reguilon และขวาที่มี Susoขึ้นเกมอย่างสุดพริ้วคู่กับเฆซุส นาบาส แถมมีตัวอันตรายอย่าง โอคัมโปสอยู่ด้วย และการคุมเกมสุดเก๋าแดนกลางของ Banega ด้วย
เซบีญ่านี่แหละที่จะเป็น “ครูภาคปฏิบัติ” ชั้นยอดที่จะมอบประสบการณ์ที่ล้ำค่าให้ลูกกรอกคะนองชุด 2019/20 นี้อย่างแน่นอนจากการปฏิบัติจริง และเจอกันจริงในสนาม ซึ่งจากการที่นั่งสำเร็จคู่แข่งมาจากนัดที่แล้ว เซบีญ่ามีเกมที่โหดมากและบุกกดวูล์ฟอยู่ฝ่ายเดียว จนบดชนะไปได้ แต่ฝั่งวูล์ฟเองก็ได้ลูกสวนกลับเล่นงานคืนเช่นกัน เสียดายว่าฆิมิเนสยิงไม่เข้าแค่นั้นเอง
เซบีญ่ามีเทคนิคและการเล่นที่ร้ายกาจทรงประสิทธิภาพมากๆ เหมาะจริงที่จะให้เด็กๆชุดนี้ได้ไปเจอของจริงกันบ้าง แต่ถามว่ามีโอกาสชนะไหม จากเกมก่อนที่เจอทีมจากอังกฤษที่ทรงคล้ายๆทีมเราแล้วนั้น ผมพูดเลยว่า เราก็มีโอกาสชนะเซบีญ่าเหมือนกัน
ผลแพ้ชนะจะเป็นยังไงในรอบรองนี้ไม่สำคัญทั้งนั้น เพราะยังไงก็แล้วแต่ แมนยูไนเต็ดชุดนี้จะได้ครูสอนและประสบการณ์ที่ดีกลับไปอย่างแน่นอน
อีกฟากหนึ่งนอกจากการจะได้เจอกับทีมเก่งๆแล้ว “การดูทีมระดับท็อปอื่นๆ” ก็ถือเป็นครูที่ดีของแมนยูเช่นเดียวกัน ในลักษณะของการเป็น “ครูภาคทฤษฎี” แน่นอนว่า แมนเชสเตอร์ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล คือสองคู่อริแมนยูไนเต็ดที่ผู้เขียนเคารพในความยอดเยี่ยมของทั้งสองทีมนี้ และก็ยกตัวอย่างขึ้นมาให้ดูบ่อยๆเพื่อให้รู้ว่า ทีมที่อยู่ระดับลุ้นแชมป์ลีกต้องเล่นด้วยมาตรฐานเช่นไร
แต่นอกเหนือจากสองทีมนี้แล้ว เกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกเมื่อคืนก่อน ในแมตช์ฟ้าถล่มแผ่นดินทลายที่ บาเยิร์นมิวนิค ถล่มทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ไป8-2 นั้นก็ถือว่านั่นคือตัวอย่างที่จะเป็นครูภาคทฤษฎีที่ดีของเราเช่นกัน
เกมการเล่นของบาเยิร์นมิวนิค เป็นสิ่งที่สามารถเรียกได้ว่า “สมบูรณ์แบบ” ได้อย่างชัดเจน เมื่อมันเต็มไปด้วยทั้งพลังงาน แรงใจความกระตือรือร้นทุ่มเทของนักเตะ / ระบบการเล่นที่เป็นระเบียบ มีประสิทธิภาพ นักเตะทุกตัวในสนามเข้าไปอยู่ในระบบแบบ100%เต็ม / รูปแบบการเล่นที่มีอาวุธหนักที่ค่อนข้างหลักหลาย ทั้งบอลเร็ว บอลสั้น การใช้ความสามารถเฉพาะตัว ลูกโด่งเกมกลางอากาศ
ทุกอย่างแตะจุดพีคหมดทุกด้าน สมบูรณ์แบบ100%แบบที่ไม่คิดว่าจะมีทีมไหนจะสร้างบอลแบบนี้ได้
การได้นั่งดูความสุดยอดของทีมที่น่าจะเก่งที่สุดในโลกแล้วของฤดูกาลนี้อย่างเสือใต้ มันทำให้ผมมองย้อนกลับมา และยิ่งเห็นความที่ “ยังไม่สมบูรณ์” ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชุดนี้ได้ชัดเจนเข้าไปใหญ่
เห็นอะไรบ้าง? .. โอ้โห ทุกตรงเลย
ความเร็วความแม่นยำในการต่อบอล > ถ้าบาเยิร์น10 ผมให้แมนยูแค่5
สภาพจิตใจ mentalityที่ยังไม่สามารถข่มคู่ต่อสู้ว่า“พวกกูเหนือกว่า”ตั้งแต่ก่อนลงสนามได้ เหมือนแมนยูยุคก่อน เหมือนสิงโตในความที่มันเป็นเจ้าป่า ทั้งๆที่จริงๆแล้วร่างกายอาจจะแข็งแรงน้อยกว่าสัตว์หลายๆตัวแม้กระทั่งเสือด้วยซ้ำ เด็กชุดนี้ของแมนยูไม่มีความเก๋าแบบนั้น แต่บาเยิร์นมีมันในตัวแล้ว จากนักเตะระดับท็อปที่มีอยู่เต็มทีม
ความแน่นอนของระบบ > บาเยิร์น10 ความแน่นอนของระบบเราตอนนี้ก็ยังแค่6
ความสามารถเฉพาะตัว > เรียกง่ายๆว่าตัวเก่งๆเต็มทีมนั่นแหละ บาเยิร์น10 พลังเต็มหลอดแทบทุกตัว ส่วนแมนยูเองตอนนี้ยังไม่ถึงครึ่งเลย ให้แค่แค่4 ยังต้องใช้การเสริมตัว+ปั้นให้เข้าช่วงพีคก่อนด้วย
ความหลากหลายของอาวุธการเข้าทำ > บาเยิร์น10 ส่วนเกมรุกแมนยูตอนนี้เหลือแค่ 5 ถ้ามีลุคชอว์อยู่ด้วย ผมให้แค่6อยู่ดี เพราะยูไนเต็ดยังขาดอาวุธหลายด้านมากๆ ทั้งพวกearly cross , การชาร์จเข้าฮอร์สทำประตู, บอลโด่ง+ลูกโหม่ง (ที่ไม่ใช่ฟรีคิกเตะมุม) รวมถึงบอลไดเร็คต์ที่ไม่ค่อยใช้, ลูกยิงแถวสองที่มีตัวยิงสองสามคน แต่ยังไม่ค่อยเข้าเป้า
ตอนนี้อาวุธแมนยูมีเพียงแค่ การต่อบอลสั้นทำจังหวะเข้ากรอบเขตโทษไปเล่นในพื้นที่อันตรายเพื่อหาจังหวะยิง และสร้างโอกาสได้ลูกจุดโทษเท่านั้น นอกจากนี้ก็มีเกมสวนกลับเค้าท์เตอร์แอทแท็คของถนัดอีกอย่าง หลักๆมีแค่สองอย่างนี้เท่านั้นเองที่เราrepeatใช้มันแทบทุกเกมจนเขาเริ่มจับทางกันได้แล้ว
เพราะฉะนั้น พอแฟนบอลอย่างเรานั่งดูของจริงแบบบาเยิร์นเล่นแล้วย้อนมาดูตัวเองนั้น ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่า คุณภาพการเล่นของทีมเรายังอยู่ได้แค่ราวๆครึ่งเดียวของทีมที่อยู่จุดสูงสุดเหล่านี้จริงๆ ไม่ว่าจะบาซ่า บาเยิร์น ซิตี้ ลิเวอร์พูล ยูเว่ก็ตาม ทีมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็น “ครู” ที่ดีให้เราทั้งนั้นในแง่ของการเปรียบเทียบว่า เราเดินมาอยู่ในจุดไหนแล้ว
ขอให้เด็กๆของเราพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ พวกเราทั้งหมดในฐานะแฟนบอลนั้นเข้าใจ และอดทนรอให้ถึงเวลาที่ทุกอย่างพัฒนาจนสุกงอมสักวันนึง ในอีก5ปีข้างหน้า ผมเชื่อว่าตอนนั้นเราจะดีกว่านี้และอยู่ในสถานะแชมเปี้ยนอย่างแท้จริง และเมื่อย้อนกลับมาดูบทความนี้อีกครั้งในปี 2025 พวกเราจะต้องขอบคุณครูดีที่ชื่อว่า เซบีญ่า และ บาเยิร์นมิวนิค ในวันนี้อย่างแน่นอน
เชียร์กันต่อไป
#BELIEVE
-ศาลาผี-
เพิ่มเติม >>> UFABETWINS
คลิกเลย >>> https://www.coconut-creek-homes-for-sale.com/